ติดต่อเรา

ฟิล์มหด (SHRINK FILM) คืออะไร??

 

ลักษณะของฟิล์มหด (Shrink Film)

ฟิล์มหด ผลิตมาจากพอลิไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl chloride – PVC) และพอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ (Low density polyethylene – LDPE) โดยฟิล์มหด จะมี 2 ลักษณะด้วยกัน คือ

  1. เนื้อฟิล์มขุ่น: เมื่อโดนความร้อน ฟิล์มเกิดการหดตัว จากเนื้อฟิล์มจะกลายเป็นผิวสัมผัสที่แข็งแรง มีความเหนียว แข็งแรง เหมาะสำหรับการห่อหุ้มสินค้าที่มีน้ำหนักมาก หรือใช้ในการห่อสินค้าที่มีหลากหลายชิ้นให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
  2. เนื้อฟิล์มเงา และใส: เหมาะสำหรับการใช้กับสินค้าที่ต้องการแสดง หรือให้เห็นสินค้าด้านใน เพราะฟิล์มจะมีความใส และเงางาม และมีความทนทานระดับปานกลาง

ระดับความหนาของฟิล์มชนิดนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 40-150 ไมครอน กว้างประมาณ 20-200 ซม.  และมีการผลิตขนาดต่างๆ ทั้งแบบม้วน หรือตัดแบ่งเป็นชิ้น เพื่อสะดวกในการใช้งาน

การนำฟิล์มหด (Shrink Film) ไปใช้งาน

  1. สำหรับการแพ็คสินค้า -> เหมาะสำหรับการนำมาให้แพคสินค้าที่พร้อมส่งไปยังสถานที่จำหน่าย  เพราะจะสามารถป้องกันความเสียหายจากการขนส่งได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่สำคัญ ควรเลือก ฟิล์มหด ประเภทเนื้อขุ่น เพื่อให้สามารถป้องกันหรือห่อหุ้มสินค้าได้ดียิ่งขึ้น เพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะขนย้ายสินค้าที่ผลิตแล้วไปส่งที่ใดก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
  2. สำหรับแสดงให้เห็นสินค้าภายใน -> จะใช้ฟิล์มหดที่เป็นประเภทฟิล์มที่ใสและและมีความแวววาว เพราะจะช่วยให้คุณมองเห็นสินค้าได้ชัดเจนทันที อีกทั้งถ้าเป็นอาหาร หรือของสำหรับรับประทาน ก็จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าทางผู้ผลิตนั้นค่อนข้างใส่ใจผู้ที่ซื้อสินค้าจากบริษัทด้วยนั่นเอง ดังนั้นนี่จึงเป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุดในการห่อสินค้าเพื่อเน้นความสวยงาม
  3. สำหรับการทำฉลากติดขวดน้ำ -> นอกจากการใช้ห่อหุ้มอาหารหรือสิ่งของที่ต้องการผลิตและส่งออกไปจำหน่ายให้ผู้บริโภคแล้ว ฟิล์มนี้ก็ยังสามารถนำมาใช้ทำ ฉลากน้ำดื่ม ได้อีกด้วย ที่บริเวณข้างขวดจะมีฉลากบอกข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นส่วนที่สำคัญของขวดน้ำเลยทีเดียว โดยฉลากนั้นจะไม่หนา แข็ง หรือเหนียว ดังนั้น วัสดุที่จะใช้ในการทำฉลากขวดน้ำ ก็คือ ฟิล์มหดแบบอ่อน ที่มีลักษณะใสและความเงาแวววาวนั่นเอง จึงเหมาะใช้เป็นหีบห่อแบบใสหรือฉลากสินค้านั่นเอง

ประเภทของฟิล์มหด (Shrink Film)

1.  PVC (Polyvinyl Chloride Shrink Film)

PVC Shrink Film

PVC ผลิตมาจากเมล็ดพลาสติก ใช้งานง่าย สะดวก ให้ประโยชน์ด้านการบรรจุภัณฑ์สินค้าหลากหลายชนิด ลักษณะเนื้อฟิล์มมีความใส ใช้งานด้วยการเป่าลมร้อน จะทำให้ฟิล์มหดตัว เพื่อห่อหุ้ม หรือรัดผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ แบบแรก แบบสีขุ่น เมื่อโดนความร้อน จะเหนียว แข็งแรง เหมาะสำหรับห่อหุ้มสินค้าที่มีน้ำหนักมาก แบบที่สองคือ แบบมันวาว ความใสพิเศษ เหมาะกับการโชว์สินค้าเพื่อให้มีความน่าสนใจ

PVC มีหลายรูปแบบ เช่น ฟิล์มหดตัดตรง ฟิล์มหดรีดแบน ฟิล์มหดใส ฟิล์มหดพีวีซี ซองฟิล์มหดขุ่น ฟิล์มหดเหล่านี้ สำหรับห่อหุ้มสินค้า และรองรับขนาดและรูปทรงของตัวผลิตภัณฑ์ได้อย่างไม่จำกัด นิยมใช้ฟิล์มหดรีดโค้ง ซึ่งฟิล์มหด PVC เน้นการบรรจุสินค้ารวม 6 ชิ้น หรือ 12 ชิ้น หรือรวมบรรจุพร้อมของแถม กรณีเน้นการลดต้นทุน นิยมใช้ฟิล์มประเภทนี้มากกว่าประเภทอื่นๆ และยังสามารถพิมพ์ข้อความ หรือลวดลายได้อีกด้วย

ฟิล์มหดประเภท PVC นั้นใช้งานง่าย ราคาประหยัด แถมมีคุณสมบัติที่เปราะ และแข็งแรงมาก เหมาะกับการห่อบรรจุภัณฑ์เกือบทุกชนิด และ PVC เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถ Recycled ได้ 100%

2. POF (Polyolefin Shrink Film) 

POF Shrink Film

เป็นฟิล์มที่ขึ้นรูปโดยกระบวนการ Double Bubble Blow Film หรือการเป่าฟิล์มตั้งแต่ 3-5 ชั้นขึ้นไป โดยเม็ดพลาสติกจะถูกรีดผ่านหัวไดร์ และนำไปอัดลม เพื่อให้ฟิล์มได้ขยายตัวผ่านน้ำ แล้วนำมาให้ความร้อนเพื่อให้ขยายตัวอีกครั้ง  POF จะมีความหนาอยู่ที่ 12 – 30 ไมครอน ในการผลิตจะใช้เมล็ดพลาสติกประเภท LLDPE และ PP เป็นหลัก

POF นิยมใช้บรรจุสินค้า เพื่อส่งออกต่างประเทศ ฟิล์มจะมีลักษณะบางใส และเหนียว มีความอ่อนนุ่ม แต่แข็งแรง สามารถมองเห็นสินค้าได้ชัดเจน ลักษณะของฟิล์ม POF มีทั้งแบบม้วน แผ่นเดี่ยว แผ่นคู่ ถุงเปิดหัวท้าย ใช้สำหรับงานแพ็คสินค้าทั่วไป เหมาะสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นพิเศษ ปลอดภัย ไม่มีสารอันตรายและ ไม่มีสาร Cadmium (สารก่อมะเร็ง) และยังสามารถสัมผัสอาหารได้โดยไม่เป็นอันตราย จึงช่วยป้องกันสิ่งปนเปื้อนชนิดต่างๆ เช่น ความชื้น กลิ่น และฝุ่น

ฟิล์มหดชนิด POF จะนิยมใช้กับพวกโรงงานผู้ผลิตอาหาร เสชภัณฑ์ ยา กล่องมือถือ และอื่นๆอีกมากมาย เลือกใช้เพื่อช่วยเพิ่มมาตรฐานการส่งออก ใช้แพ็คสินค้าทั่วไป ที่มีน้ำหนักไม่มาก วัตถุประสงค์ในการใช้งานก็เหมือนกับประเภท PVC แต่มีคุณสมบัติที่เด่นกว่า คือบางใส และนุ่มเหนียว สามารถมองเห็นสินค้าได้ดี ต่างจาก PVC ซึ่งโดนห้ามไม่ให้ใช้ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา

3. PE (Polyethylene Shrink Film)

PE Shrink Film

PE เป็น polymer ชนิดหนึ่งของ POF, PE ถูกใช้ในหลายรูปแบบของงานบรรจุภัณฑ์ ฟิล์มจะมีความเหนียวมาก เหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ใช้ได้ทั้งฟิล์มหดและฟิล์มยืดแต่การใช้งานจะแตกต่างกันมากในแต่ละชนิด PE ที่ใช้งานอย่างแพร่หลายมี 3 ชนิดได้แก่

  1. Low-Density Polyethylene (LDPE)
  2. Linear Low-Density Polyethylene (LLDPE)
  3. High-Density Polyethylene (HDPE)

แต่ละชนิดใช้งานอุตสาหกรรมที่ต่างกัน แต่ที่นิยมในงาน shrink wrap packaging คือ LDPE การที่ LDPE เหมาะกับการใช้ในงาน shrink packaging เนื่องจากความแข็งแรงและหยืดหยุ่นสูงเหมาะสำหรับชิ้นงานใหญ่ๆและมีน้ำหนักมาก เช่น งานแพคน้ำดื่ม , สามารถพิมพ์ข้อความหรือรูปภาพลงไปได้และรักษาสภาพรูปภาพที่พิมพ์ลงไปได้ดีคงทนแข็งแรง

ในขณะที่ PVC และ POF ลิมิตความหนาไว้ที่ 100 mil แต่ PE สามารถทำสูงสุดได้ถึง 1200 mil เลยทีเดียว! ด้วยความหนาระดับนี้สามารถนำไปใช้ในอุตหกรรมขนส่งทางน้ำ เช่น wrap เรือ พันเก็บไว้ได้

PE มีข้อด้อยเล็กน้อยคือ มีอัตราการหด (shrink rate) ที่ต่ำ ประมาณ 20% และ ความใสจะน้อยกว่าฟิล์มชนิดอื่น

จากประเภทของฟิล์มหด แต่ละประเภทนั้นก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แต่ในทุกประเภทนั้น จะเป็นการที่ให้ความร้อนแล้วฟิล์มเกิดการหดตัวไปโดนสินค้าที่เราต้องการห่อหุ้ม ซึ่งในกระบวนการให้ความร้อน แล้วฟิล์มเกิดการหดตัว จะมีแรงที่เกิดในขณะที่ฟิล์มหดตัวไปโดนสินค้า ดังนั้น ในการนำฟิล์มหดไปใช้จะต้องมีการทดสอบค่า Shrink force

Shrink force หรือก็คือแรงที่จะเกิดขึ้นขณะที่ฟิล์มเกิดการหดตัว เพื่อดูว่าฟิล์มชนิดนี้เมื่อเกิดการหดตัว จะเกิดแรงที่จะไปกระทบกับสินค้ามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีแรงที่เกิดขึ้นมาก อาจส่งผลให้สินค้าเกิดการเสียหายได้ จึงจำเป็นต้องมีการทดสอบค่า Shrink force

และยังมีการทดสอบ %การหดตัวของ Film อีกด้วย เพื่อดูความสามารถในการหดตัวเมื่อโดนความร้อน

ชอบคุณแหล่งที่มา : https://shorturl.asia/2eKPn